วันที่สองของการเดินทาง เดินทางมาถึงตัวเมืองลำปางแล้ว สถานที่แรกที่ไป คือ วัดศรีรองเมืองเป็นวัดที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในเรื่องของหลังคาวิหารอาคาร มีหลังคา 2 ส่วน หลังคามีการซ้อนหลังคา ถึง 9 ชั้น และส่วนถัดลงมาเป็นหลังคาจั่วซ้อนระดับไล่ลงมาจนถึงทางเข้า การไล่ระดับของหลังคานั้น เป็นการแสดงถึงจำนวนครอบครัวที่มีความเชื่อมโยงผูกพันมารุ่นต่อรุ่น อีกทั้งยังเป็นสัดส่วนของการบ่งบอกถึงความสำคัญของระดับชั้นที่นั่ง ส่วนบนสุดให้ความสำคัญแก่พระภิกษุสงฆ์ก่อนแล้ว จึงไล่ลงมาเป็นพุทธศาสนิกชน ภิกษุกา ภิกษุณีตามลำดับ
ด้าน การตกแต่ง มีการปิดทอง ใช้กระจกสีเกิดช่อง ให้แสงลอดผ่าน รอยแกะสลักลายดอกไม้ เกิดความสวยงามและน่าจดจำใจอย่างมาก ส่วนที่ประทับใจโดยส่วนตัว คือ การจัดผังบริเวณรอบนอกที่ทำให้เกิดความร่มรื่น มีการปลูกดอกไม้ พืชพรรณต่างๆ การจัดพื้นทีนั่งพัก พื้นมีมอสขึ้นสีเขียวขจี และมีการเลี้ยงห่านด้วยจึงทำให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติอย่างมาก
ด้าน การตกแต่ง มีการปิดทอง ใช้กระจกสีเกิดช่อง ให้แสงลอดผ่าน รอยแกะสลักลายดอกไม้ เกิดความสวยงามและน่าจดจำใจอย่างมาก ส่วนที่ประทับใจโดยส่วนตัว คือ การจัดผังบริเวณรอบนอกที่ทำให้เกิดความร่มรื่น มีการปลูกดอกไม้ พืชพรรณต่างๆ การจัดพื้นทีนั่งพัก พื้นมีมอสขึ้นสีเขียวขจี และมีการเลี้ยงห่านด้วยจึงทำให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติอย่างมาก
วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
วัดที่สอง คือ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ในจังหวัดลำปางเช่นเดียวกัน กล่าวว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกตในช่วงเวลาหนึ่ง มีลักษณะเด่นด้านโครงสร้างหลังคา ที่หลังคามีไล่ระดับ จึงมีการใช้เสาสะโกน เพื่อช่วยรับน้ำหนักจากเสากลมที่รับโครงสร้างหลักของหลังคา เรื่องของรายละเอียดของการประดับตกแต่งทั้งส่วนของหน้าบัณฑ์ ช่อฟ้า ค้ำยัน ที่มีการเกาะสลักเป็นรูปพญานาคพันกัน ภาพแกะสลักภายในที่เล่าถึงเรื่องความเชื่อบาปบุญคุณโทษของคนในสมัยนั้น
ทางเข้าที่มีการประดับรูปปั้นลอยตัวสิงห์ 2 ตัว มีความสวยงามมากทางด้านหน้า แต่กลับตรงกันข้ามในส่วนของผนังอีกด้านที่ไม่มีการประดับตกแต่งแต่เลือกใช้ เพียงความเรียบของผนังปูน เพื่อเน้นใช้เห็นถึงความสำคัญของทางเข้า รายละเอียดต่างๆนี้ ถูกนำมาปรากฏไว้ในทุกๆส่วนของของอาคารภายในวัด รวมไปถึง ทางเดินสู่ซุ้มประตูทางเข้ามีการใช้ลายพญานาคตกแต่งรั้ว ทั้ง 4 ทิศ แต่ด้านหลังดูจะใหญ่โตมากกว่า มีการลอยอยู่เหนือน้ำให้ความรู้สึกน่าเกรงขามมาก
วัดข่วงกอม
วัดที่สามของวัน วัดข่วงกอมเป็นสถานที่หยุดพักทานอาหารเที่ยงด้วยไปในตัว เพราะ ด้านในวัดเป็นลานทรายโล่ง มีศาลาด้านข้างสามารถนั่งพักผ่อนได้ อุโบสถกลางมีการใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เน้นด้านการก่อสร้าง ที่เรียบง่าย แต่ได้ความเป็นระเบียบที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เดินลงมาชมบรรยากาศรอบๆ
เข้า ไปด้านในป่า ถัดจากวัดไป มีอาคารเรือนไทยจำลองมีการเปิดโถงกลางใช้งานที่สวยงาม ด้านท้ายสุดเป็นไร่นา ซึ่งมีการปลูกข้าว กว้างใหญ่มาก เขียวชอุ่ม มีทางระบายน้ำเป็น มอสขึ้นเป็นสีเขียว สวยงาม น่าประทับใจ
เข้า ไปด้านในป่า ถัดจากวัดไป มีอาคารเรือนไทยจำลองมีการเปิดโถงกลางใช้งานที่สวยงาม ด้านท้ายสุดเป็นไร่นา ซึ่งมีการปลูกข้าว กว้างใหญ่มาก เขียวชอุ่ม มีทางระบายน้ำเป็น มอสขึ้นเป็นสีเขียว สวยงาม น่าประทับใจ
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
เดินทางมาสถานที่สุดท้ายของวัน อุทยานแห่งชาตแจ้ซ้อน ศึกษาด้านการจัดผังบริเวณ และมาแช่น้ำพุร้อน
คุ้มพระยาปิงเมือง
ท้ายๆของวันยังคงได้ไปแวะคุ้มพระยาปิงเมือง สำคัญด้านโครงสร้างของยุ้งฉาง ที่มีการยื่นพื้นอาคารออกทุกด้านจากเสา (อาจเพราะด้วย เวลาที่ชาวบ้านนำข้าวมาเทใส่ไปด้านในข้าวจะเกิดการเทตัว และไหลจึงเกิดน้ำหนักที่จำเป็นต้องยื่นตัวพื้นออกมาเพื่อให้ข้าวทิ้งน้ำหนักกลับลงไปส่วนกลาง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น